วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2566

Boost post อย่างไรให้สำเร็จ

Boost post อย่างไรให้สำเร็จ



Boost Post คือ การซื้อโฆษณาบน Facebook ซึ่งวิธีการโฆษณาบน Facebook มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการบูสต์โพสต์ตามปกติ การเพิ่มยอดวิววิดีโอ เพิ่มยอดคอมเมนต์ ยอดแชร์ รวมไปถึงการเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการ พัฒนา ปรับปรุงเพื่อให้โพสต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น จะได้ไม่เป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ เหมือนการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” จากเดิมที่ facebook ads กระจายโพสต์ไปยังแฟนเพจและเพื่อนของ แฟนเพจ เท่านั้น เป็นการกระจายแบบล็อกกลุ่มเป้าหมาย เหตุที่เจ้าของแฟนเพจจำเป็นต้องอาศัย Boost Post



วิธีการ Boost Post



ขั้นแรก ถ้าหากยังไม่มีเพจ ให้สร้างเพจก่อน หลังจากนั้นให้เข้าไปที่หน้าเพจของเรา เริ่มเขียนโพสต์ข้อความที่เราต้องการจะโฆษณาก่อนและกดโพสต์ให้เรียบร้อย เคล็ดลับในการเขียนโพสต์คือควรเขียนข้อความให้สั้น กระชับ บอกรายละเอียดของสินค้าและบริการให้ครบถ้วน โดยคำนึงเสนอว่าควรทำให้ผู้เห็นโฆษณาเข้าใจและเกิดความสนใจได้ในทันที



คลิกปุ่ม Boost Post ที่เราต้องการโฆษณา

ขั้นต่อมา ให้คลิกที่ปุ่ม Call To Action จะช่วยกระตุ้นให้คนที่เห็นโฆษณามีส่วนร่วมมากขึ้น ใน Facebook โดยให้เราเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับตามความต้องการ เมื่อเราเลือก Create New Audience เรียบร้อยแล้ว จะมีหน้าต่างการสร้างกลุ่มเป้าหมายขึ้นมาให้เราระบุ กลุ่มเป้าหมาย อาทิ เพศของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถเลือกเฉพาะบางเพศเพื่อที่เหมาะกับสินค้าและบริการของเรา หรือจะเลือกหลายๆ เพศในการ Boost Post ก็ได้, อายุที่เราต้องการตั้งแต่ 18-65 ปีขึ้นไป, ตำแหน่งของกลุ่มเป้าหมาย ข้อดีของการระบุพิกัดจะช่วยให้เพื่อสร้างโฆษณาให้เห็นเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ได้เข้าถึงสินค้ามากขึ้นนั้นเอง เป็นต้น



ขั้นต่อมา ให้เราใส่จำนวนเงินและระยะเวลาโฆษณาตามความเหมาะสมสามารถใส่จำนวนเงินและระยะเวลาได้ตามความต้องการ และเมื่อใส่จำนวนเงินลงไป ระบบของ Facebook จะคาดการณ์ Reach (จำนวนคนที่เห็นโฆษณาของเรา) ว่ามีจำนวนเท่าไร ซึ่งถ้าคอนเทนต์ของเราตอบโจทย์ และได้รับความนิยม อาจทำให้ Reach มากกว่าที่คาดการณ์ได้เหมือนกัน แต่ก็มีข้อกำหนดเหมือนกันนะ จำนวนเงินขั้นต่ำที่จะโฆษณาได้คือ 30 บาทต่อวัน

ขั้นตอนสุดท้ายให้เราชำระเงินในระบบที่ Facebook จากนั้นก็นั่งดู ยอดคนที่เข้าถึงโพสต์ กดไลค์ กดแชร์และเตรียมรับออเดอร์จากลูกค้าที่สนใจได้เลย

ขอบคุณที่มาจาก : digitalmarketingwow

Google Ads Extensions

 

Google Ads Extensions คืออะไร 


คือ ส่วนขยายหรือข้อมูลเพิ่มเติม ที่มาจากตัวโฆษณาที่เราสร้างขึ้นครับ โดยประโยชน์ของส่วนขยายใน Google Ads จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้งานที่จะเข้ามาคลิ๊กชมบนโฆษณาของเราให้สูงขึ้น (CTR) นอกจากนี้ยังทำให้พื้นที่โฆษณาของเราเพิ่มขึ้น และโดนเด่นกว่าโฆษนาอื่น ๆ ที่ไม่มีการใส่ส่วนขยายครับ ซึ่งถ้าหาก CTR เพิ่มมากขึ้น คะแนนของคุณภาพโฆษณาก็จะสูงขึ้นไปด้วย ส่งผลให้ค่าโฆษณา CPC ลดราคาลงครับ


ประเภทของ Google Ads Extension แบ่งได้ 2 หมวดหมู่ใหญ่ ๆ คือ 


  • ส่วนขยายพื้นฐาน
  • ส่วนขยายแบบอื่น ๆ 

แบบที่ 1 แบ่งตามส่วนขยายพื้นฐาน 

1. Sitelinks Extensions คือ การใส่ URL เพื่อ Link ไปยัง Landing Page หรือหน้าเว็บไซต์ ที่ต้องการเพิ่มลงไปจากหน้าหลักที่มีอยู่แล้ว เช่น อาจจะเป็นหน้าสำหรับลงทะเบียนเพื่อรับโปรโมชั่น หรือจองสิทธิ์ต่างๆ เป็นต้นครับ 


2. Call Extensions คือ การเพิ่มเบอร์โทรศัพท์เพื่อให้ผู้ใช้ที่สนใจจะติดต่อหาบริษัทโดยตรง ซึ่งหากดูโฆษณาบนโทรศัพท์มือถือ ก็จะสามารถกดโทรออกได้ทันที เหมาะมากเลยครับกับธุรกิจทีต้องมีการจอง เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้คือ หากธุรกิจมีหลายสาขา ก็สามารถกำหนดเบอร์ให้แต่ละสาขาได้


3. Location Extensions คือ ส่วนขยายที่ใช้สำหรับบอกตำแหน่งของสถานที่ เหมาะกับธุรกิจที่มีหน้าร้าน เช่น บริษัทที่มีสำนักงาน หรือร้านอาหาร ร้านขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพราะเมื่อคลิกเข้าไปแล้ว ระบบจะทำงานร่วมกับ Google Map ทันที ซึ่งแปลว่าหากลูกค้าต้องการจะเดินทางไปยังร้านหรือบริษัท ก็สามารถกำหนดเส้นทางได้ในทันทีโดยไม่ต้องมานั่งเปิดแผนที่ให้วุ่นวาย แต่การใช้ส่วนขยายประเภทนี้จะต้องทำการปักหมุดตำแหน่งบน Google My Business ก่อน ถึงจะมีสิทธิในการโฆษณาตำแหน่งที่ตั้งนั้นได้ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับร้านที่ทำโฆษณาด้วย


แบบที่ 2  แบ่งตามส่วนขยายอื่น ๆ 

1.Callout Text คือ การเพิ่มส่วนขยายเพื่อเน้นคำโฆษณาที่ต้องการเพิ่มเข้าไป โดยจะมีจุด . เป็นตัวขั้นระหว่างแต่ละคำที่ใส่ลงไปด้วย เหมาะกับธุรกิจที่เป็นร้านค้าขายสินค้า หรือบริษัทส่งออก โดยคำที่ใช้เน้น เช่น ส่งฟรี ช้อปได้ 24 ชั่วโมง ช้อปก่อนคุ้มกว่า เป็นต้นครับ


2. Structured Snippets Extensions คือ การจจัดหมวดหมู่ แบ่งประเภทของสินค้า บริการ เพื่อเป็นการบอกให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานที่เห็นโฆษณา รู้จักธุรกิจ และรู้ว่าธุรกิจมีบริการ มีสินค้าอะไรบ้าง เหมาะกับธุรกิจที่มีการทำแคมเปญ Search Network with Display Select และ Search Network only ครับ



3. Message Extensions คือ การเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถส่งข้อความหาเราได้ทันที แต่ส่วนขยายนี้ยังไม่สามารถใช้ได้ในประเทศไทยนะครับ

4. Affiliate Location Extensions คือ ส่วนขยายที่บอกตำแหน่งที่ตั้งเช่นกับ Location Extensions แต่ส่วนขยายนี้จะเหมาะสำหรับร้านค้าที่มีหลายสาขา เพราะระบบจะแสดงสาขาที่ใกล้ตัวผู้ค้นหามากที่สุดแทน

5. Price Extensions คือ ส่วนขยายที่ใช้สำหรับการบอกราคาสินค้า บริการ เหมาะสำหรับธุกิจ E-Commerce นอกจากนี้ยังสามารถใช้ส่วนขยายนี้ เมื่อมีการทำโปรโมชั่นสินค้า

6. App Extensions คือ ส่วนขยายที่สามารถเพิ่มเข้าไปเพื่อแนะนำให้ผู้ใช้งาน เข้าไปโหลดแอปพลิเคชันและติดตั้งได้ เหมาะอย่างยิ่งกับธุรกิจที่มีแอปพลิเคชันเป็นของตัวเอง

7. Review Extensions คือ การนำรีวิวจากผู้ใช้งานจริงมาแสดงผลบนส่วนขยาย Google Ads ตัวนี้  แต่ส่วนขยายนี้ยังไม่สามารถใช้ได้ในประเทศไทยนะครับ


หากเราสามารถเลือก ส่วนขยาย ที่เข้ากับธุรกิจของเราได้ก็จะช่วยในเรื่องของการเพิ่มอัตราการคลิกให้สูงขึ้น (CTR, Click-through rate) เพราะจะทำให้เราสามารถเพิ่มโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการเข้าไปได้อีก การทำแบบนี้จะทำให้โฆษณาโดดเด่น และขยายความคำโฆษณาให้เจาะลึกมากขึ้น 










วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2566

คู่มือมาตราฐานการโพสต์

 







ให้ข้อมูลครบถ้วน
การเขียนโพสต์ขายของให้ปัง ๆ ต้องให้ข้อมูลครบถ้วน ไม่ว่าจะข้อดีของการใช้ผลิตภัณฑ์นี้ คุณสมบัติพิเศษ และส่วนสำคัญที่สุดคือ ราคา หากร้านไหนยังปิดราคาแล้วให้ทักถาม ลูกค้าจะไม่พอใจแน่นอน เนื่องจากเป็นการยุ่งยากต้องเสียเวลาทักถาม ซึ่งจะทำให้คุณเสียโอกาสในการขายไปได้เลย


ข้อความต้องสั้นกระชับ
วิธีโพสต์ขายของ ไม่ว่าจะข้อความบนภาพ แคปชั้นขายของออนไลน์ต้องสื่อถึงสินค้าหรือบริการ การโพสต์ขายของควรจะสรุปใจความสำคัญให้ได้ 1-2 ประโยค ทำให้เห็นถึงสินค้าหรือบริการของเราสามารถแก้ไข pain point ปัญหาของลูกค้าได้



รูปภาพต้องสวยสะดุดตาดึงดูดความสนใจ
โดยส่วนใหญ่คนจะชอบดูคลิปวิดีโอสั้น ๆ หรือ ภาพถ่ายสวย ๆ สีสันสะดุดตา จะเป็นตัวหยุดโพสต์นั้นได้อย่างดี ซึ่งหลักการโพสต์ขายของสิ่งแรกคือ ภาพต้องเป๊ะปัง สื่อถึงสินค้าที่เราขาย ข้อความสั้น ๆ เข้าใจง่าย นี่คือหนึ่งในวิธีโพสต์ขายของออน ไลน์


ใส่ข้อมูลสินค้าและบริการที่ครบถ้วน
วิธีโพสต์ขายของที่ทำให้ลูกค้าสนใจและสอบถามจะต้องให้ข้อมูลสินค้าอย่างครบถ้วน ทั้งขนาด วัสดุการผลิต คุณสมบัติ ราคา รายละเอียดโปรโมชันไว้ในแคปชันเสมอ เพื่อให้ลูกค้าได้ตัดสินใจได้ทันที เพราะการที่ทำให้ลูกค้าต้องทักเข้าไปถาม อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกกดดันและอาจตัดสินใจเลื่อนผ่านโพสต์คุณไปเลย


ความเร็วและถูกต้อง
ต้องให้บริการหลังการขาย เช่น
-การตอบแชท ควรไม่ให้ลุกค้ารอนาน เกิน 3 นาที
-ต้องเร็วทั้งการตอบในข้อความโพสต์และแชท
-ต้องเร็วในการแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า

ควรศึกษา ก่อนว่าเรามีบริการอะไรบ้าง เพื่อตอบลูกค้าให้ถูกต้องและ อาจส่งเสริมการขายในบริการอื่นๆได้


หัวใจในการพัฒนาบริการ

 


1.ให้จัดทำคู่มือบริการ

ถ้าไม่มีคู่มือบริการอยู่ได้ แต่อยู่ยากเพราะทุกคนจะสับสนว่าตนเองต้องทำอะไร ขจัดปัญหาทำให้ทุกคนมองไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ไม่สับสนในการให้บริการ

2.พนักงานต้องเห็นความสำคัญ

กระบวนการสื่อสารภายในองค์กรจำเป็น กระบวนการปลูกจิตสำนึกจำเป็น ซึ่งเป็นกระบวยการที่จะทำให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน และมีหัวใจในการรักบริการ ต้องทำให้พนักงานเห็นความสำคัญของการบริการ เปลี่ยนความคิดเขาและไม่ควรทำให้เขาต่อต้านเพราะพนักงานเป็นกลุ่มที่ต้องปะทะกับลูกค้า ถ้าเขารู้สึกไม่ดีเขาจะปฏิเสธคุณเขาจะต่อว่าเขาจะไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่วางไว้

3.ผู้บริหารจำเป็นต้องเห็นชอบ

เพราะบางอย่างมันต้องใช้งบประมาณบางอย่างมันต้องใช้เงิน ถ้าผู้บริหารเห็นชอบเขาก็จะไม่อนุมัติการบริการก็จะไม่เกิดทันที 

4.มีเวลาเพียงพอ

ต้องให้ทุกคนมีเวลาเตรียมตัวให้พร้อม ในการบริการที่ดีทุกคนเข้าใจหน้าที่ เตรียมขั้นตอนที่พร้อมสำหรับการบริการ เราจึงต้องมีการเขียนแผนกันว่า ปีหน้าเราจะมุ่งเน้นในการบริการที่ดีเลิศ 

5.พัฒนาพนักงาน

ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าการบริการที่ดีมีขั้นตอนยังไง เพราพจะทำให้พนักงานมองเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่าบริการจะต้องทำยังไง ถ้าเราไม่พัฒนา ความรู้ไม่มีทางเกิดขึ้นเองแน่นอน


ที่มา:https://youtu.be/lPwzqz7dYcs?si=2VoMWs-Y6xVY44gT

เว็บไซต์บริษัท : https://bsgroupthailand.com/news-detail.php?id=58

FACEBOOK ADS การยิงโฆษณาประเภทข้อความ

FACEBOOK ADS การยิงโฆษณาประเภทข้อความ







โดยปัจจุบันเค้ามีวัตถุประสงค์ในการยิงโฆษณาแบบ “ข้อความ (Messages)” ขึ้นมารองรับการทำการตลาดตรงนี้โดยเฉพาะ เมื่อเราเลือกวัตถุประสงค์นี้ จะเป็นการบอกให้ระบบพยายามนำส่งโฆษณาของเราไปหาคนที่มีแนวโน้มจะสนทนากับธุรกิจของเราใน Messenger


ซึ่งภายใต้วัตถุประสงค์นี้เราสามารถยิงโฆษณาได้ 2 ประเภท

1. โฆษณาที่คลิกไปยัง Messenger (Click to Messenger)

โฆษณาประเภทนี้ คือ โฆษณาที่เรากำหนดปลายทางในการคลิกไปยัง Messenger ไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายจะเห็นโฆษณาบน Facebook Instagram หรือใน Messenger เมื่อเค้าคลิกโฆษณา ก็จะนำพาไปสู่การเริ่มต้นการสนทนากับธุรกิจใน Messenger ทันที โดย Facebook จะให้เรา กำหนด “ข้อความต้อนรับ” เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายเริ่มสนทนากับธุรกิจด้วยครับ



2. ข้อความที่ได้รับการสนับสนุน (Sponsored message)

โฆษณาอีกประเภทที่เราสามารถใช้ได้ภายใต้วัตถุประสงค์ข้อความ คือ “ข้อความที่ได้รับการสนับสนุน (Sponsored message) ซึ่งเป็นการยิงโฆษณาแบบข้อความไปหากลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าที่ “เคย” สนทนากับธุรกิจมาก่อนบน Messenger ครับ


ข้อดีของการยิงโฆษณาแบบข้อความ

1. เป็นการติดต่อสื่อสารที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค

เมื่อทุกวันนี้ผู้บริโภคชอบแชท เราก็ทำโฆษณาที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของเค้าไปเลย แทนที่จะยิงโฆษณาทั่วไป และรอให้เค้า inbox มาสอบถาม เราก็ยิงโฆษณาไปใน inbox เพื่อเปิดการสนทนาเองเสียเลย

2. เป็นช่องทางในการทำตลาดแบบ Personalization

การยิงโฆษณาแบบข้อความช่วยให้เราติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายได้ในระดับลึกมากยิ่งขึ้น เมื่อเข้าสู่การสนทนา เราจะรู้แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายที่เรากำลังคุยอยู่เป็นใคร มีความต้องการหรือปัญหาอะไร ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการหรือแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างตรงจุด และมีความเฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น

3. ให้ความรู้สึกที่ Soft กว่าการปิดการขายตรงๆ


ลองนึกดูว่า ถ้าลูกค้ากำลังเริ่มสนใจสินค้านิดๆ การที่เค้าคลิกโฆษณา แล้วมันนำไปยังหน้าสั่งซื้อสินค้าเลย ลูกค้าอาจรู้สึกว่ามันรวบรัดเกินไป Hard sale เกินไป การนำพาเค้าไปยัง inbox เพื่อให้เค้ามีโอกาสได้สอบถามข้อมูล หรือได้ไขข้อสงสัยก่อน อาจเป็นทางเลือกที่ Soft กว่าในการกระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าของเรา

แนวทางในการยิงโฆษณาแบบข้อความ

1. ยิงเพื่อปิดการขายตั้งแต่แรก

บางธุรกิจที่มั่นใจว่าสินค้าของตัวเองเป็นสินค้าประเภทซื้อง่ายขายคล่อง เป็นสินค้าที่กลุ่มเป้าหมายเห็นโฆษณาแว็บเดียวแล้วอยากได้เลย สร้างความต้องการซื้อได้ทันที

2. ยิงเพื่อสร้าง Leads

เราอาจใช้การยิงโฆษณาแบบข้อความเพื่อหา “ว่าที่ลูกค้า (Leads)” หรือ คนที่มีแนวโน้มว่าจะซื้อสินค้าของเรา เน้นการสร้างปฎิสัมพันธ์ โดยมุ่งเก็บข้อมูลคนเหล่านี้ไว้เพื่อที่จะยิงโฆษณาซ้ำกลับไปหา (retargeting) เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจหรือปิดการขายอีกที

3. ยิงเพื่อ Retargeting

เราอาจะใช้โฆษณาแบบข้อความ ยิงไปหากลุ่มเป้าหมายที่เคยเห็นโฆษณา หรือเคยมีปฎิสัมพันธ์กับธุรกิจของเราไปแล้ว เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อหรือปิดการขาย

4. ยิงเพื่อ Up-selling หรือ Cross-Selling

เราอาจใช้โฆษณาแบบข้อความยิงไปหาคนที่เคยสนใจสินค้า หรือยิงไปหาลูกค้าเก่า เพื่อที่นำเสนอสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าหลัก (Cross-Selling) หรือนำเสนอสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น (Up-selling)

5. ยิงเพื่อ support ปัญหาหรือข้อสงสัยต่างๆ

เราคงจะเห็นแล้วว่าการยิงโฆษณาแบบข้อความสามารถทำได้หลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับว่า “เราต้องการผลลัพธ์อะไร” และ “เราขายสินค้าประเภทไหน” เป็นสำคัญ

สรุป

เราคงจะเห็นแล้วว่าการยิงโฆษณาแบบข้อความสามารถทำได้หลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับว่า “เราต้องการผลลัพธ์อะไร” และ “เราขายสินค้าประเภทไหน” เป็นสำคัญ สมมติคุณขายสินค้าที่รู้อยู่แล้วว่าขายยาก แต่คุณกลับยิงโฆษณาแบบข้อความไปเพื่อหวังปิดการขายแต่แรกที่ลูกค้าเห็นโฆษณา มันก็คงไม่เวิร์คแน่ๆ เพราะฉะนั้น 2 เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่คุณต้องเคลียร์ให้ชัดก่อนยิงโฆษณา และเลือกแนวทางในการใช้ให้เหมาะสม เพื่อให้เราได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ และไม่ละลายเงินค่าโฆษณาไปแบบสูญเปล่า

ขอบคุณที่มา : maxideastudio

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2566

หลักสูตรการบริการเหนือความคาดหวัง EP5

 



5 ขั้นตอนการพัฒนากระบวนการการบริการ

1.อธิบายขั้นตอนการบริการให้ชัดเจนก่อน
   ให้เราเขียนขั้นตอนมาเลยว่าการบริการมีอะไรบ้าง ควรทำอะไรก่อนอะไรหลัง เขียนออกมาให้ชัดเจน
และนำไปบอกคนอื่นๆในบริษัทให้รับรู้ว่าการบริการควรทำแบบไหนอย่างไรบอกให้ทุกคนเข้าใจ เพื่อให้คนในบริษัทไม่สับสน และทำตามได้ง่ายขึ้น

2.ต้องทำให้ทุกคนยอมรับให้ได้
    บางคนมีขั้นตอนแต่ทุกคนไม่ยอมรับต่างฝ่ายต่างมีความขัดแย้งกัน ทำให้ดำเนินการบริการยากขึ้น เพราะอย่างนั้นเองสำคัญที่สุด จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ทุกคนในบริษัทมีความคิดเห็นเหมือนกัน คือ ให้เขายอมรับในขั้นตอนการบริการที่ชัดเจนของเรา

3.เราต้องมีความจริงใจกับทุกคน
     เราต้องมีความจริงใจกับเพื่อนร่วมงาน เราไม่ได้ไปแกล้งว่าเฮ้ย แผนกนี้ไปรับลูกค้าเพราะลูกค้าดุ หรือแผนกคอลเซ็นเตอร์ ให้ลูกค้าต่อว่าไม่ใช่เราไม่ได้แกล้งใคร เพราะฉะนั้นเองเราต้องจริงใจกับทุกคน จริงใจกับพนักงาน ลูกค้า และเจ้านาย จริงใจหมดสิ่งที่เราทำเราคิดไม่ได้กลั่นแกล้งใครต่อว่าใคร เพราะฉะนั้นเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจริงใจ เมื่อเราจริงใจผลที่จะตามมาก็คือ คนอื่นๆจะสัมพัสได้ รับได้และเดินตามกระบวนการ

4.จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการจัดทำมาตราฐานการบริการ
      มาตราฐานการบริการมีกี่ระดับ ระดับหนึ่งเป็นไง ระดับสองเป็นไง เรามาตั้งเป้าหมายร่วมกัน ทำความเข้าใจกันว่า อันไหนทำได้ไม่ได้ อันไหนทำแล้วดี หรือ ไม่ดี ควรทำหรือไม่ควรทำ อันไหนพอผ่อนผันได้ก็ผ่อนผันให้มีกฏเกณฑ์มีมาตราฐาน

5.จัดทำคู่มือบริการ
      จัดทำคู่มือการบริการให้เป็นกิจลักษณะ แล้วแจ้งให้ทุกๆคนในบริษัทรับรู้จะได้มีแนวทางปฏิบัติเดียวกัน










วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2566

วิธียิงโฆษณา Video Ads

วิธียิงโฆษณา Video Ads

        ในตอนนี้ Youtube ได้กลายมาเป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ รวมถึงเป็น search engine ที่คนในปัจจุบันให้ความสำคัญและให้ความสนใจเป็นอันดับต้น ๆ 
และไม่ใช่แค่เฉพาะแบรนด์สินค้าหรือบริการเท่านั้นที่เลือกใช้วิธีสร้างช่องบน YouTube เพื่อเพิ่มการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น เพิ่มการติดตาม สร้าง Brand Awareness ยังมีบรรดา Blogger และ Influencer ต่าง ๆ ที่พากันขยายตัวมาสู่ช่องทาง YouTube กันมากขึ้น

เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
*** เราต้องมีแชแนล Youtube ***

1.เริ่มต้นยิงโฆษณา 

    เข้าสู่การยิงโฆษณา YouTube Ads โดยกดที่คำว่า “NEW CAMPAIGN”


2. เลือกวัตถุประสงค์

ระบบจะลิงค์เรามาที่หน้าเลือกวัตถุประสงค์ของการยิงโฆษณา อันนี้เราสามารเลือกเป้าหมายในการยิงของเราได้ตามต้องการ



3. Campaign Type

เลื่อนลงมาด้านล่างเพื่อเลือก Campaign Type คือการบอกระบบว่าโฆษณาที่เรากำลังจะทำการยิงโฆษณานั้นเป็นโฆษณาประเภทไหน ในส่วนตรงนี้เราจะโฆษณา Youtube ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอ ก็ให้คลิกคำว่า “Video” จากนั้นกด “Continue”  ต่อไปได้เลยค่ะ



4.กรอกรายละเอียดต่างๆ

กรอกรายละเอียดให้ครบถ้วน แต่จุดที่ต้องเน้นคือถ้าหากเป็นการยิงครั้งแรกแนะนำให้เลือกกลยุทธการเสนอราคาแบบCPA เนื่องจากรูปแบบ การเพิ่มConvernionlสูงสุด 



ข้อควรระวัง:

ในช่องการกำหนดงบประมาณ หรือ Enter budget type and amount เราสามารถกำหนดได้ 2 แบบนะคะ คือ กำหนดเป็นงบประมาณตลอดอายุการใช้งาน หรือ “Campaign Total” เช่น เรามีงบ 300 บาทสำหรับให้ยิงโฆษณา 10 วัน เท่ากับเราจะเสียค่าโฆษณาแค่ 300 บาทเท่านั้น

 

กับอีกแบบคือ กำหนดเป็นงบประมาณรายวัน หรือ “Daily” คือโฆษณาวันละ 300 บาท ไปเรื่อย ๆ จนครบ 7 วัน เท่ากับว่าเราจะเสียค่าโฆษณา 300 บาท x 10 วัน = 3,000 บาท ค่ะ เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องระวังอย่ากดผิดนะคะ มิฉะนั้นค่าโฆษณาจะเกินจากที่เราตั้งงบไว้แน่นอน



5.ทำคลิปให้มีคุณภาพ

ทำคลิปให้มีคุณภาพและทำการแนบลิงค์คลิปวิดิโอที่เราต้องการยิงลงในช่องในโฆษณา เมื่อแนบลิ้งในช่องแล้ว สามารถกดสร้างแคมเปญได้เลย 



ข้อเสนอแนะ: เราควรยิงหลายๆแบบ และนำมาวัดผลว่า ads ตัวไหนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเราจะได้สามารถเพิ่มงบADSได้อย่างมีประสิทธิภาพและตัดADSที่ได้ผลน้อยออก 


5 ขั้นตอนขายของใน Instagram

5 ขั้นตอนขายของใน Instagram



การขายของใน IG จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีภาพถ่ายและไอจีสตอรี่เป็นตัวกลาง แพลตฟอร์มนี้ได้รับความนิยมในไทยเป็นอย่างมากเพราะคนไทยชอบถ่ายภาพ และภาพยังสามารถสื่อสารและดึงดูดความสนใจได้ดีกว่าข้อความเพียงอย่างเดียวอีกด้วย

1. สร้างโปรไฟล์ธุรกิจสำหรับร้านค้าออนไลน์


การสร้างโปรไฟล์ธุรกิจ หรือ Business Profile บน Instagram
  • ล็อกอินไปยังบัญชีของคุณ
  • เลือก “การตั้งค่า” (Setting)
  • เลือก “บัญชี” (Account)
  • เลื่อนลงมาด้านล่างและเลือก “เปลี่ยนไปใช้บัญชีมืออาชีพ” (Switch to Professional Account)
2. ค้นหาแฮชแท็กที่เหมาะกับโพสต์ก่อนทำการโฆษณา


หนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญอย่างมากสำหรับการขายของออนไลน์ก็คือทำให้ร้านขายของใน IG ของคุณเป็นที่รู้จัก เพิ่ม Traffic ในการเข้าชมโปรไฟล์ และโฆษณาสินค้าหรือบริการใหม่ๆ กับลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณ ซึ่งสิ่งที่จะช่วยเรื่องการโฆษณาบนอินสตาแกรมให้ได้ผลก็คือแฮชแท็ก (Hashtag) บนอินสตาแกรม

มีการสำรวจออกมาแล้วว่าการใส่แฮชแท็กในโพสของคุณจะ เพิ่ม Engagement ได้มากถึง 12.6%

3. เริ่มโฆษณาบน IG เพื่อสนับสนุนการขาย


หากต้องการความสะดสกสบาย และรวดเร็วในการโปรโมทร้านค้าบน Instagram คุณสามารถกดปุ่ม Promote ใต้โพสต์ เพื่อทำการลงโฆษณาได้เลย

หลังจากนั้นสามารถใส่ข้อมูลในส่วนของกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่สถานที่ ช่วงอายุ เพศ และภาษา และใส่ “ความสนใจ” (Interest) ให้ละเอียดเพื่อให้โฆษณาไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของคุณได้ และเพิ่มประสิทธิภาพในการโปรโมท IG

4. ใช้ Instagram Shopping


ฟีเจอร์นี้จะมีแท็กปรากฏขึ้นมาเมื่อลูกค้าคลิกบนรูปภาพ บนแท็กจะประกอบไปด้วยชื่อและราคาของสินค้า และเมื่อลูกค้าคลิกลงไปบนแท็กเหล่านี้ก็จะสามารถเห็นคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ และยังเป็นช่องทางให้ลูกค้าเข้าชมเว็บไซต์หรือเฟสบุ๊คเพจของคุณได้อีกทางหนึ่งด้วย

5. ติดต่อเหล่าบล็อกเกอร์หรือ Influencer เพื่อช่วยโปรโมทสินค้า


การที่มีเหล่า Influencer ที่มีผู้ติดตามมากมายบนอินสตาแกรมช่วยถ่ายรูปโปรโมทสินค้าของคุณจะสามารถช่วยให้คอนเทนท์ของคุณไปถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยรู้จักสินค้าของคุณมาก่อนได้มากขึ้น และก็เป็นวิธีที่ถือว่าได้ผลอย่างมากในปัจจุบัน

วิธีนี้อาจจะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงจำนวนผู้ติดตามของบล็อกเกอร์เหล่านั้นได้ ทั้งนี้คุณต้องมั่นใจว่ากลุ่มผู้ติดตาม Influencer นั้นๆ ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ เพราะถ้าไม่ตรงกันก็จะเป็นการเสียเงินไปเปล่าๆ

โรคเบาหวานสังเกตุยังไง

 โรคเบาหวานสังเกตุยังไง !!!!    

        โรคเบาหวาน นั้นบางทีเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการอะไรบ่งบอก ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ หากไม่ได้รับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ก็จะไม่ทราบว่าเป็นเบาหวาน จนกระทั่งโรคดำเนินไปมากแล้วจึงจะรู้ตัว

ที่มารูป: https://kbkjclinic.com/diabetes/

โรคเบาหวานคืออะไร ?

        โรคเบาหวาน เป็นโรคที่เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายต่อฮอร์โมนที่ชื่อว่า “อินซูลิน” แบ่งออกได้เป็น 2 กรณี ได้แก่

  • การหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนลดลง
  • ภาวะดื้อต่ออินซูลิน

โดยความบกพร่องดังกล่าวนี้ มีผลให้การดูดซึมน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานของเซลล์ร่างกายลดลง จนมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสะสมเป็นปริมาณมาก และเป็นผลให้อวัยวะต่าง ๆ เสื่อมลง และเกิดโรคหรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ตามองไม่ชัด เท้าเป็นแผล ไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และอาจอันตรายถึงขั้นต้องทำการตัดอวัยวะ เป็นต้น 

อาการที่บอกว่าเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน?

  • รู้สึกกระหายน้ำบ่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
  • ปัสสาวะบ่อยทั้งกลางวันและกลางคืน
  • รับประทานอาหารมากขึ้นแต่กลับน้ำหนักลด
  • มีปัญหาด้านการมองเห็น ได้แก่ ตาพร่าลาย เห็นภาพไม่ชัด เห็นภาพซ้อน
  • มีแผลเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ

ที่มารูป: https://www.sikarin.com


รู้ทันโรคเบาหวาน – ด้วยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

        การตรวจว่าเราเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ สามารถทำได้ด้วยการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือการเจาะน้ำตาลหลังอดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Blood Sugar: FBS) โดยระดับน้ำตาลในเลือดจะสามารถบ่งบอกถึงปริมาณของกลูโคสในกระแสเลือด ณ ขณะนั้นว่าอยู่ในระดับใด ซึ่งการตรวจน้ำตาลในเลือดนี้เป็นการตรวจที่ช่วยคัดกรองและวินิจฉัยว่าเรามีเสี่ยงเป็นเบาหวานหรือไม่

        ปัจจุบัน เราสามารถตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยตนเอง (Self Monitoring of Blood Glucose) ซึ่งสามารถตรวจได้เองเป็นประจำ มีข้อดีคือ ทำให้ทราบความเสี่ยงว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ และทำให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานสามารถปรับพฤติกรรมการดูแลตนเองได้ทันที

ระดับน้ำตาลในเลือดดูอย่างไร? 

  • 💚ระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ระหว่าง 70-100 คุณอยู่ในภาวะปกติ
  • 🧡ระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับ 100 – 125 คุณมีภาวะความเสี่ยง หรือเรียกว่า เบาหวานแฝง
  • ❤️ระดับน้ำตาลในเลือด มากกว่า 126 คุณมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน


หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรทำอย่างไร?

  • รักษาแบบใช้ยา ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ยารับประทานและยาฉีด  ซึ่งแต่ละแบบมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยยารักษาโรคเบาหวานในปัจจุบันมีผลข้างเคียงน้อยและสะดวกในการใช้ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจจ่ายยาให้กับผู้ป่วยแต่ละรายตามความเหมาะสม  

  • รักษาแบบไม่ใช้ยา คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คุมอาหาร และออกกำลังกาย เช่น
    • รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index) ต่ำ ทำให้ดูดซึมน้ำตาลช้า อิ่มนาน เช่น ผักใบเขียว ฝรั่ง แอปเปิ้ล กล้วยน้ำว้า ข้าวโอ๊ต ข้าวซ้อมมือ วุ้นเส้น เป็นต้น
    • รับประทานน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
    • ออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้ง หรืออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

  • การกินอาหารเสริม คือ การรับประทานผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยลดอัตราการเกิดเบาหวาน 
    • รับประทานตัวอาหารเสริมตามคำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวาน

จะรับประทานอาหารเสริมตัวไหนดี?

        ทางเรามีผลิตภัณฑ์อาหารเสริม “CAMINIA” ในรูปแบบแคปซูลเจลาตินนิ่ม ประกอบไปด้วยสารสกัดขมิ้นชัน น้ำมันปลา และ วิตามิน ดี3 เกรดพรีเมี่ยม ที่มีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ    
        ได้ทดสอบในกลุ่มทดลองจากการคัดกรองอาสาสมัครมากกว่า 200 คน โดยนำผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวานจำนวน 47 คน มาเข้าร่วมการทดสอบเป็นเวลานานกว่า 48 สัปดาห์ พบว่า สูตรที่ใช้ในการทดสอบ สามารถช่วยลดอัตราการเกิดเบาหวานได้ สามารถป้องกันการเกิดเบาหวานในประชากรกลุ่มเสี่ยงได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการติดตาม

สั่งซื้อได้ที่ :https://www.facebook.com/bsonline.bkk/


ที่มาของข้อมูล :https://www.paolohospital.com
                         :https://www.sikarin.com/health/
                         :https://kbkjclinic.com/diabetes/
                         :https://www.naewna.com/lady/











  5 ส. หรือ 5S คือเครื่องมือสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย ประกอบไปด้วย สะสาง-สะดวก-สะอาด-สุขลักษณะ-สร้างนิสัย มีวัตถุประสงค์หลัก ๆ เพื่อลดต้...